
ทีมฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก
ผลปรากฏว่า “แซมบ้า”บราซิล แชมป์รอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ ผงาดขึ้นเป็นทีมหมายเลข 1 ของโลก หลังห่างหายจากตำแหน่งนี้ไปนานถึง 4 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่หนสุดท้ายเมื่อสิงหาคม 2017 ขณะที่ “ปีศาจแดง”เบลเยียม หล่นไปอันดับ 2 หยุดระยะเวลาครองเบอร์ 1 แบบต่อเนื่องไว้ที่ 3 ปี 5 เดือน นับตั้งแต่ขึ้นมายึดตำแหน่งได้เมื่อเดือนตุลาคม 2018
ทางด้านฝรั่งเศส (อันดับ 3), อาร์เจนตินา (อันดับ 4), อังกฤษ (อันดับ 5), สเปน (อันดับ 7) และโปรตุเกส (อันดับ 8) ทีมเหล่านี้จะอยู่ในโถ 1 ร่วมกับบราซิล, เบลเยียม และเจ้าภาพกาตาร์ ส่วนอิตาลีแม้จะไม่ได้ไปรอบสุดท้าย แต่รอบนี้อันดับโลกยังอยู่ที่ 6 เช่นเดิม
สำหรับโถ 2 ประกอบด้วย เม็กซิโก (อันดับ 9), เนเธอร์แลนด์ (อันดับ 10), เดนมาร์ก (อันดับ 11), เยอรมนี (อันดับ 12), อุรุกวัย (อันดับ 13), สวิตเซอร์แลนด์ (อันดับ 14), สหรัฐอเมริกา (อันดับ 15), โครเอเชีย (อันดับ 16)
ส่วนโถ 3 เซเนกัล (อันดับ 20), อิหร่าน (อันดับ 21), ญี่ปุ่น (อันดับ 23), โมร็อกโก (อันดับ 24), เซอร์เบีย (อันดับ 25), โปแลนด์ (อันดับ 26), เกาหลีใต้ (อันดับ 29), ตูนิเซีย (อันดับ 35)
โถ 4 แคเมอรูน (อันดับ 37), แคนาดา (อันดับ 38), เอกวาดอร์ (อันดับ 46), ซาอุดีอาระเบีย (อันดับ 49), กานา (อันดับ 60), ทีมชนะเพลย์ออฟยุโรป, ทีมชนะเพลย์ออฟเอเชีย-อเมริกาใต้, ทีมชนะเพลย์ออฟคอนคาเคฟ-โอเชียเนีย
ด้านทีมชาติไทย เดือนนี้ขยับขึ้น 1 อันดับ จากเดิมอันดับ 112 สู่อันดับ 111 หลังได้แต้มเพิ่มจากผลงานเตะเกมกระชับมิตรที่ชนะเนปาล 2-0 และชนะซูรินาม 1-0
สำหรับการจับสลากรอบแบ่งกลุ่มของรอบสุดท้าย จะมีขึ้นที่กาตาร์ ในวันที่ 1 เมษายน เวลา 19.00 น. ของท้องถิ่น หรือตรงกับ 23.00 น. ของประเทศไทย ทีมฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก
อังกฤษฟอร์มหลุดล้มเหลวในเนชั่นส์ลีก
แทงบอลออนไลน์ การไม่ชนะใครเลยและแพ้ถึง 2 จาก 4 เกมในศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2022-23 ทำให้กระแส “ปลดเซาธ์เกต” ในกลุ่มแฟนบอลอังกฤษเริ่มมีความเข้มข้นขึ้น จากทีมที่แพ้ใครยาก เสียประตูน้อย และมักเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ตลอด 4 ปีหลังสุด อยู่ดี ๆ อังกฤษ ก็ฟอร์มหลุดไปอย่างหมดรูป ปัญหาเล็ก ๆ ที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต กำลังเจอและต้องรีบแก้ก่อนศึกใหญ่คืออะไรบ้าง ? ติดตามได้ที่นี่กับ Main Stand
ปัญหาไม่ใหญ่ แต่ปล่อยไว้ไม่ได้
เนชั่นส์ ลีก ไม่ใช่รายการที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือแม้แต่แฟนบอลอังกฤษคาดหวังว่าพวกเขาจะต้องเป็นแชมป์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างที่รู้กันหลาย ๆ ชาติก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังมากนักกับรายการที่คล้ายฟุตบอลกระชับมิตรแต่ยกระดับขึ้นมาด้วยการมีถ้วยแชมป์กับเงินรางวัลเท่านั้น ไม่ใช่แค่ทีมชาติแต่ละชาติที่ให้ความสำคัญรองลงมาจากรายการอื่น ๆ นักเตะหลายคนก็ยังเคยออกปากบอกเองด้วยว่า นี่คือรายการฟุตบอลที่น่าเบื่อ และถ้าเลือกได้พวกเขาก็ไม่อยากจะลงเล่นในรายการนี้เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฤดูกาลอันยาวนานสิ้นสุดลงและนักเตะบางคนต้องลงเล่นระดับ 60-70 เกมมาตลอดทั้งปี ทีมฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก
“สำหรับผมฟุตบอลเนชั่นส์ ลีก มันไม่สำคัญเลย พวกเราถูกบังคับให้ลงเล่นแมตช์เหล่านั้น ทั้งที่มันไม่แตกต่างอะไรจากการฝึกซ้อม เพราะทุกคนต่างก็เพิ่งผ่านพ้นฤดูกาลอันยากลำบากมากันทั้งนั้น” เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพของเบลเยียม เพิ่งกล่าวไปไม่นานมานี้ ขณะที่ เยอร์เกน คล็อปป์ กุนซือของ ลิเวอร์พูล ก็เคยคอมเมนต์ถึงรายการนี้ และหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วยว่า “บางฤดูกาลนักเตะบางคนต้องลงเล่นในสโมสรกว่า 60 นัด เมื่อรวมกับทีมชาติอีกพวกเขาจะเล่นมากถึง 75 นัด ดังนั้นเรายังต้องมาเตะเนชั่นส์ ลีก ต่อเพราะพวกเขาบังคับให้เราเตะ ทั้งที่มันไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์สำคัญ ผมถามหน่อยว่าใครจะสนใจว่าเราจะเล่น 4, 5 หรือ 6 นัดในรายการนี้” นี่คือส่วนหนึ่งของความสำคัญที่หลายคนไม่ให้ค่ากับรายการนี้ แต่อย่างไรเสียไม่ว่าจะรายการใด ๆ ก็ตาม เมื่อคุณคิดจะเป็นทีมฟุตบอลที่แข็งแกร่ง เมื่อคุณลงสนามคุณย่อมต้องคาดหวังที่จะเป็นผู้ชนะในทุก ๆ เกม ยกตัวอย่างเช่นทีมชาติเยอรมัน ที่มี ฮันซี่ ฟลิค คุมทีมนั้นจะสะท้อนภาพของความ “เป็นมืออาชีพ” ชัดมาก พวกเขาลงเล่น 4 นัดใน เนชั่นส์ ลีก ช่วงโปรแกรมเดือนมิถุนายนโดยไม่แพ้ใครเลย 1 ในนั้นคือการชนะแชมป์ยุโรปอย่าง อิตาลี ถึง 5-2 เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อส่องเข้าไปในรายละเอียดของเกม ลูกทีมของ ฟลิค ยังคงเหี้ยมเกรียมและสร้างโอกาสในแต่ละเกมได้มากมาย ครองบอลมากกว่า 60% ทุกนัด และพวกเขาวิ่งไล่บี้เพรสซิ่งเหมือนกับร่างกายนักเตะยังสดใหม่มากกว่าทีมชาติอื่น ๆ
ขณะที่ อังกฤษ มีปัญหาเรื่องแบบนี้มายาวนาน พวกเขาเล่นเป็นคนละทรงกับทีมในยูโร 2022 เพราะเดิมทีฟุตบอลอังกฤษนั้นขึ้นชื่อเรื่องโปรแกรมในประเทศที่แน่นเอี๊ยด จุดนี้เคยโดนชี้ชัดว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษไม่ประสบความสำเร็จในรายการใหญ่ ซึ่งในระยะหลังอาจจะมีการเพิ่มโปรแกรมหนีหนาวเข้ามาเพื่อให้นักเตะได้พักราว 2 สัปดาห์ … ซึ่งก็น้อยกว่าอยู่ดีหากเทียบกับชาติที่เป็นเซียนในรายการใหญ่อย่าง เยอรมัน ที่โปรแกรมฟุตบอลในประเทศของพวกเขานั้นมีเบรกหนีหนาวนานถึง 1 เดือน
การล้มเหลวในเนชั่นส์ ลีก ระดับแพ้ ฮังการี ถึง 0-4 อาจจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่สิ่งที่ทีมชาติอังกฤษต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้ง คือโปรแกรมฟุตบอลในประเทศที่แน่นขนัดด้วยฟุตบอลถ้วย 2 รายการ เบรกหนีหนาวที่สั้น รวมถึงการพยายามจัดโปรแกรมเพื่อเอาใจการตลาดเพื่อการถ่ายทอดสด ซึ่งคนที่ต้องได้รับผลกระทบตรงนี้ที่สุดก็คือนักเตะที่ต้องใช้แรงมากเป็นพิเศษนั่นแหละ
ดังนั้นเมื่อฤดูกาลอันยาวนานจบลง และพวกเขาได้ใส่ทุกอย่างที่มีกันไปจนหมดถังแล้ว กับโปรแกรมทีมชาติในรายการที่หลายคนยี้ แน่นอนว่ามันเหมือนกับการเล่น ๆ ไปให้จบ ๆ เพราะหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ สิ่งที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอตลอดทั้งปีจะมาถึงนั่นคือการ “พักร้อน” ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ ตามใจตัวเองที่สุด โดยใน 1 ปีจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ฟุตบอลแนวทางเดิมแต่ลดคุณภาพ
แกเร็ธ เซาธ์เกต พยายามเลือกนักเตะใหม่ ๆ เข้ามาติดทีมชาติและให้โอกาสกับนักเตะหลายคนได้ลงเล่นในช่วงโปรแกรมเนชั่น ลีก ที่ผ่านมา นักเตะอย่าง มาร์ค เกฮี, คอเนอร์ กัลลาเกอร์, จาร็อด โบเว่น, เจมส์ วอร์ด-เพราส์ และ แทมมี่ อับราฮัม คือคนที่ได้เข้ามาสอดแทรกเป็น 11 ตัวจริงตลอดทั้ง 4 เกม
การใช้นักเตะใหม่จำนวนมากและมีตัวหลักจากชุด ยูโร 2022 ลงเล่นไม่กี่คน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการประสานงานและความเฉียบขาด เพราะเดิมทีฟุตบอลของอังกฤษยุคเซาธ์เกตไม่ใช้การครองบอลเยอะ แต่เป็นการเล่นฟุตบอลไดเร็กต์ไปถึงหน้าประตูฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ทีมฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก และใช้โอกาสที่มีเปลี่ยนเป็นสกอร์ให้ได้ ซึ่งการเล่นลักษณะนี้ต้องอาศัยความเข้าขารู้ใจ รวมถึงนักเตะต้องมีคุณภาพในจังหวะสุดท้ายเป็นอย่างยิ่ง
ข้อนี้เซาธ์เกตเคยออกมาบอกเองเลยด้วยซ้ำว่า เขาเป็นกังวลกับเรื่องเกมรุกของทีมชุดนี้ เพราะนักเตะที่เขาใช้ประจำในระดับขาดไม่ได้มีเพียง 2 คนเท่านั้นคือ แฮร์รี่ เคน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ส่วนคนอื่น ๆ ยังวนเวียนสลับกันเข้ามาเล่นร่วมกับทั้งสองคนนี้ แต่ที่สุดแล้ว เคน และ สเตอร์ลิ่ง ก็ยังต้องแบกเกมรุกของทีมอย่างหนักมาตลอดในช่วงหลายปีหลัง
“ผมคิดว่าเราทำได้ดีแล้ว ผมว่าเกมนี้เราจบด้วยการมีสถิติครองบอล 59% เราสร้างโอกาสได้หลายครั้ง แต่คุณจำเป็นต้องทำประตูให้ได้ด้วยเมื่อมีโอกาส ซึ่งวันนี้เราทำไม่ได้ เราจำเป็นต้องทำประตูให้ได้มากกว่านี้ เราเอาแต่พึ่ง แฮร์รี่ กับ ราฮีม (สเตอร์ลิ่ง) มากเกินไป ที่ผ่านมาพวกเขาทำประตูสำคัญ ๆ ให้กับเราได้เป็นส่วนใหญ่ และนั่นเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องแก้ไข” เซาธ์เกต เปิดใจหลังเกมเสมอ อิตาลี 1-1
ขณะที่ตัวของนักเตะอย่าง สเตอร์ลิ่ง ก็ให้สัมภาษณ์หลังเกมแพ้ ฮังการี 0-4 ซึ่งเป็นเกมที่โดนสื่อและแฟนบอลถล่มที่สุด และมีกระแสในโซเชียลมีเดียให้ตัดชื่อเขาออกจากทีมก่อนทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2022 จะเริ่มว่า “พวกเราเล่นกันได้ไม่ดีพอจริง ๆ เราไม่ได้พยายามมากพอ และนั่นคือเหตุผลที่เราไม่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ เราขาดความเด็ดขาดและโหดเหี้ยม ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ทุกคนควรโดนตำหนิ ซึ่งแน่นอนมันรวมถึงตัวผมเองด้วย” ปีกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าว
ตอนนี้อังกฤษมีตัวเลือกในตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย แต่นักเตะที่ เซาธ์เกต ใช้มาตั้งแต่ก่อนยูโร 2022 หลายคนฟอร์มตกไปเยอะ มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช และ แจ็ค กรีลิช ทำให้ของคุ้นมือในแดนหน้าลดน้อยถอยลงไป และวันไหนที่ เคน หรือ สเตอร์ลิ่ง เจ็บหรือเล่นไม่ออก อังกฤษ จะพบปัญหาแน่นอน
แม้ เนชั่นส์ ลีก อาจจะตัดสินอะไรสำหรับอนาคตของ เซาธ์เกต ไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ มันคือสัญญาณเตือนก่อนฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะมาถึงในปลายปีนี้
ฟุตบอลโลก 2022 รายการสำคัญ
ทีมฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก แม้แฟนบอลจะเดือดดาลและพาดหัวข่าวจะร้อนแรงถึงความเหมาะสมของเซาธ์เกตกับตำแหน่งกุนซืออังกฤษ แต่ที่แน่ชัดคือตอนนี้สมาคมฟุตบอลอังกฤษยังคงสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่จากผลงานอันดับ 4 ฟุตบอลโลก 2018 และ รองแชมป์ยูโร 2022 และเหนือสิ่งอื่นใดนักเตะในทีมชุดนี้ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเขาอย่างเต็มรูปแบบ ว่าง่าย ๆ ก็คือทุกคนเชื่อมั่นและเชื่อฟังเซาธ์เกตอยู่ ซึ่งหลายคนก็ออกมาพูดผ่านสื่อและช่วยลดความกดดันของเซาธ์เกตลงด้วย
“พวกเรานักเตะทีมชาติอังกฤษมองกันและกันว่าพวกเราคือพรรคพวกและกลุ่มเดียวกัน ถ้าคุณได้รู้ขั้นตอนการทำงานของเซาธ์เกตตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณจะพบว่าเขาเปลี่ยนพวกเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรากลายเป็นทีมที่ชัดเจนในแนวทางการเล่น เขาเปลี่ยนนักเตะหนุ่มหลายคนให้เติบโตเป็นผู้เล่นที่มีความรับผิดชอบและมืออาชีพ ห้องแต่งตัวของเรามีบรรยากาศที่สุดยอด”
“ตอนนี้เซาธ์เกตก็กำลังทำสิ่งนั้นกับนักเตะหนุ่มคนใหม่ ๆ อีกมากมาย เขากำลังพยายามทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะมีประสบการณ์เพียงพอสำหรับเวทีสำคัญ … และเมื่อถึงตอนนั้นเชื่อเถอะว่าทุกคนจะพร้อมแน่นอน” ราฮีม สเตอร์ลิ่ง หนุนนายใหญ่ของเขา
ผลการแข่งขันในเนชั่นส์ ลีก ไม่สามารถเอามาตัดสินว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำทีมชาติอังกฤษล้มเหลวได้ แต่มันคือสัญญาณเตือนก่อนทัวร์นาเมนต์ใหญ่จะมาถึง อังกฤษ ได้เห็นปัญหา พวกเขาต้องการทีมที่ทดแทนกันได้มากกว่านี้ พวกเขาต้องการเวลาพักซึ่งเกิดจากแนวทางการจัดการของฟุตบอลภายในประเทศ และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาต้องการคุณภาพที่สูงขึ้นในเกม 90 นาที … ตอนนี้พวกเขามีแนวทางที่ชัดเจนแล้ว ขาดแค่คุณภาพและประสบกาณณ์ที่จะช่วยให้ไปถึงแชมป์ ซึ่งนั่นจะเป็นทางเดียวที่ทำให้ทุกคนเลิกปรามาสเซาธ์เกตได้