แกเรธ เบล ณ มาดริด

แกเรธ เบล ณ มาดริด

แกเรธ เบล ณ มาดริด

ในวันที่ แกเร็ธ เบล ย้ายมาร่วมทีม เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสูงสุดเป็นสถิติ เขาคือจิกซอว์สำคัญที่เข้ามาเติมเต็มแนวรุกราชันชุดขาวได้อย่างลงตัว และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์หลายรายการแต่ผ่านไปไปไม่กี่ปี จากจิกซอว์ที่ตามหา ก็แปรสภาพมาเป็นส่วนเกินอย่างเปิดเผย ไม่มีโค้ชคนไหนใช้งานเขา และแฟนบอลต่างพร้อมใจหันหลังให้กับอดีตฮีโร่ของพวกเขาคนนี้ แกเร็ธ เบล ไปทำอะไรให้ผู้คนที่มาดริดไม่ชอบใจ และเขาเป็นนักเตะที่ไร้ความเป็นมืออาชีพตามที่ใครกล่าวถึงจริงหรือ

จุดเริ่มต้นของกระแสไล่เบล

แกเรธ เบล ณ มาดริด การพาทีมได้แชมป์สโมสรโลก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2017-18 ที่ แกเร็ธ เบล เป็นฮีโร่ของทีมในนัดชิงชนะเลิศดูเหมือนมันจะไม่มากพอ และเขาก็ยังไม่เป็นที่ต้องการของแฟนบอล แต่ทำไมล่ะมันจึงเป็นเช่นนั้นที่ เรอัล มาดริด ไม่มีที่ว่างให้สำหรับความพ่ายแพ้ นี่คือสโมสรที่มีความสำเร็จมากที่สุดในยุโรป พวกเขาไม่เคยขาดนักเตะที่เป็น “เอซ” ของทีม ดังนั้นการที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อำลาทีมไปในซัมเมอร์ปี 2018 ได้ แกเรธ เบล ณ มาดริด เปลี่ยนทุกอย่างทันที มาดริด ได้รู้จักความพ่ายแพ้ง่ายกว่าเดิม และรู้สึกว่าชัยชนะกลายเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินในวันที่ไม่มี โรนัลโด้ และ ซีดาน และเมื่อต้องพบกับความพ่ายแพ้บ่อย ๆ เข้า แฟนบอลที่ มาดริด จะมองว่าคือเรื่องใหญ่ที่ไม่สมควรเกิดขึ้น ความเข้มข้นและจริงจังของแฟนๆ สูงมาก แม้แต่ เอเด็น อาซาร์ ตัวรุกที่ย้ายมาเมื่อปี 2019 ด้วยค่าตัวค่าตัวแพงที่สุดในสโมสร 100 ล้านยูโร เทียบเท่า แกเรธ เบล ยังสัมผัสได้ด้วยตัวเอง

แกเรธ เบล ณ มาดริด “ที่เชลซีเมื่อเราแพ้ เราจะผิดหวังเหมือนกับแฟนบอล แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันคือหายนะ มันแตกต่างจากในสเปน” อาซาร์ กล่าว

“ผมคิดว่าที่นี่แฟนบอลคือแฟนบอลจริง ๆ ฟุตบอลคือทุกอย่างสำหรับพวกเขา พวกเขาต้องการให้นักเตะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ในอังกฤษมีแฟนบอลไม่มากนักที่มีความคิดเช่นนี้”

“แน่นอนว่าแฟนบอลที่นั่นชอบฟุตบอล ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็ก, ผู้ใหญ่, วัยรุ่น ล้วนสนใจฟุตบอล แต่พวกเขาไม่ได้คลั่งไคล้ทีมของตัวเองมากนัก”

ความหวังใหม่ในวันที่โรนัลโด้จากไป

อย่างไรก็ตามก่อนที่ อาซาร์ จะย้ายเข้ามานั้น แกเร็ธ เบล เป็นนักเตะที่มีราคามากกว่า โรนัลโด้ ในวันที่ย้ายเข้ามา (ค่าตัวตอน CR7 ย้ายมาเมื่อปี 2009 คือ 94 ล้านยูโร) ซึ่งต้องตกเป็นความหวังใหม่ในวันที่ โรนัลโด้ จากไปโดยปริยาย

เบล เริ่มฤดูกาล 2018-2019 ด้วยความร้อนแรง 4 นัดแรกในเกมลีกเขาทำไป 3 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ และ มาดริด ชนะรวดทั้ง 3 นัด ณ เวลานั้นถึงกับมีวลีที่ว่า “เมื่อไม่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เรอัล มาดริด กลายเป็นทีมที่เล่นเป็นทีมกว่าที่เคยเป็นมา” เลยทีเดียว ทว่าหลังจากนั้น ฆูเลน โลเปเตกี กลับถอดเบลนั่งสำรองในเกมกับ เอสปันญอล และนั่นทำให้เขาเริ่มหยุดยิงประตูไปยาวถึง 5 นัด ซึ่งท้ายสุดมันนำมาซึ่งฟอร์มย่ำแย่ของทีมที่ไม่สามารถเอาชนะใครได้ 4 นัดติดต่อกันและเป็นการพ่ายแพ้ถึง 3 เกม ปัญหาทุกอย่างดูจะได้คำตอบในเกมนัดที่ 10 ของฤดูกาล มาดริด เปิด เบอร์นาเบว พบกับ บาร์เซโลน่า โลเปเตกี ส่ง เบล ลงสนามเป็น 11 ตัวจริง ทว่าสุดท้ายเกมจบลงด้วยความพ่ายแพ้คารังถึง 1-5 เมื่อนั้นก็วงแตกทันที … โลเปเตกี ถูกปลด เรอัล มาดริด ไร้หางเสือต้องเอา ซานติอาโก โซลารี่ ขึ้นมาคุมทัพชั่วคราว โซลารี่ ขึ้นมาจากทีมชุดบีของสโมสร ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้นักเตะดาวรุ่งหลายคนลงสนาม และเลือกที่จะเขี่ยแข้งตัวเก๋าออกจากทีมตัวจริงหลายคน ทั้ง มาร์เซโล่ และรวมถึง แกเร็ธ เบล ด้วย โดยเฉพาะรายของเบลนั้นได้ลงเต็มเกมเพียงแค่ 2 นัดตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ โซลารี่ เข้ามาคุมทีม สิ่งที่แย่กว่าคือ เรอัล มาดริด หมดลุ้นแชมป์ลีกตั้งแต่หัววัน ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการแพ้เละเทะให้กับ อาหยักซ์ ที่ถือว่าเป็นทีมนอกสายตาในเวลานั้น นี่คือความผิดหวังที่ร้ายแรงมากสำหรับสโมสรแห่งนี้ และแฟนบอลของพวกเขาต้องการใครสักคนที่ต้องรับผิดชอบสำหรับเรื่องนี้

เป้าสุดท้ายที่เหลืออยู่

โลเปเตกี โดนปลด ! โซลารี่ โดนปลด ! และเมื่อนั้น แกเร็ธ เบล จึงกลายเป็นเป้าสุดท้ายที่เหลืออยู่ … ทำไมต้องเป็น เบล เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะ เบล ในมุมมองของแฟนบอล เรอัล มาดริด นั้นเปรียบเหมือนกับคนนอกโดยกลาย ๆ เบล เป็นแข้งตกสำรวจในโพลของ มาร์ก้า มาตลอดว่าใครคือขวัญใจของแฟนบอล โรนัลโด้, มาร์เซโล่, เซร์คิโอ รามอส, ลูก้า โมดริช และ คาริม เบนเซม่า คือแข้งขวัญใจระดับท็อป 5 ขณะที่ เบล มักจะติดโพลของนักเตะที่ทีมควรขายออกเสมอ ซึ่งนสาเหตุประการหนึ่งอาจมาจากการปฏิบัติตัวของเขาเอง นอกจากนี้แม้แต่สำนักข่าว มาร์ก้า เองก็มักจะหาเรื่องเล่นงาน เบล อยู่บ่อย ๆ อาทิในวันที่เขาย้ายทีมมาในปี 2013 ซานติอาโก้ โซโรล่า นักเขียนของ มาร์ก้า อธิบายคุณสมบัติของเบลหลังจากเข้าไปดูในสนามซ้อมว่า “แกเร็ธ เบล หมอนี่วิ่งเป็นอย่างเดียว” ซานติอาโก้ โซโรล่า อธิบายไว้เช่นนั้น เอาล่ะ เบล อาจจะไม่เก่งเท่ากับ โรนัลโด้ แม้ความจริงในโลกนี้คงจะหาใครมาเทียบกับ CR7 ยากเหลือเกิน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ เบล ไม่เป็นที่รักของแฟน ๆ ไม่ใช่เรื่องในสนามอย่างเดียวเท่านั้น

เบล ถูกมองว่ามีพฤติกรรมและทัศนคติที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับทีม เขาไม่มีเพื่อนสนิทในทีมนอกจาก ลูก้า โมดริช ที่เป็นเพื่อนเก่ากันสมัยเล่นที่ สเปอร์ส นอกจากนี้การวางตัวนอกสนามของเขายังมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนบอลที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะเขามักจะทำตัวเหมือนกับพนักงานออฟฟิศที่แค่ทำหน้าที่ในสนามของตัวเองให้จบ หลังจากนั้นก็ปลีกตัวออกห่างเพื่อใช้ชีวิตส่วนตัวเสมอ

“มันยากที่จะอธิบาย แกเร็ธ เบล ด้วยคำเพียงคำเดียว ผมบอกได้ว่าเขาเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่บางครั้งมันก็ถูกบล็อกเอาไว้ด้วยเรื่องบางอย่าง ผมใช้ชีวิตเหมือนกับคนที่เกิดและหายใจเป็นชาว มาดริด ผมกินข้าวตอนสาย ๆ ผมนอนดึก มันคือวิถีชีวิตของคนที่นี่” นี่คือสิ่งที่ ธิโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารของทีมพูดถึง แกเร็ธ เบล ที่มีตารางชีวิตไม่สอดคล้องกับมาดริดิสต้าทั่วไป

นอกจากนี้ มาร์เซโล่ ยังย้ำไปในทิศทางเดียวกันว่า การปฎิบัติตัวของ เบล ในห้องแต่งตัวแตกต่างจากคนอื่น ๆ เขาไม่ยอมพูดภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาที่ผู้เล่นในทีมทุกคนใช้สื่อสารกัน แม้แต่ตัวของ โมดริช ที่มาจากอังกฤษก่อนหน้าเขาไม่นานก็พูดสเปนได้อย่างคล่องปร๋อ “ผมนั่งติดกับเบลในห้องแต่งตัว แต่เบลไม่พูดภาษาสเปน เขาจะพูดแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น เราสื่อสารกันผ่านการแสดงท่าทาง ผมใช้ภาษาสเปนกับเขาแค่ว่า ‘สวัสดี (Hi), สวัสดี (Hello) และ ไวน์ชั้นดี'” มาร์เซโล่ กล่าวเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะ

เบล เป็นคนเก่งแต่ว่าทำให้บรรยากาศในทีมไม่ดี อาทิในซัมเมอร์ที่ผ่านมาซึ่งแฟนบอลของ เรอัล มาดริด มารอต้อนรับนักเตะเข้าสู่สนามซ้อม แต่ เบล กลับเดินฝ่ากลุ่มแฟนบอลของมาดริดเข้าไปด้วยท่าทีที่เฉยเมย ไม่ยอมถ่ายรูปหรือแจกลายเซ็นเหมือนกับผู้เล่นคนอื่นๆ จนทำให้แฟนบอลไม่พอใจและรุมโห่ขณะที่ทีมลงซ้อมจนทำให้บรรยากาศมันอึมครึมไปโดยปริยาย

มาถึงฤดูกาล 2019-20 ในระหว่างที่ มาดริด ไปแข่งรายการพรีซีซั่น อาวดี้ คัพ ที่ประเทศเยอรมัน เบล ก็ไม่ถูกเรียกตัวติดทีมไปด้วย ทว่าช่วงเวลาที่เขาอยู่ สเปน ก็มีสื่อเผยภาพว่าเขาเอาเวลาไปตีกอล์ฟซึ่งเป็นกีฬาโปรดอีกชนิดของเขา นั่นทำให้แฟนบอล มาดริด มองว่า เบล ไม่ได้แยแสสถานการณ์ของทีมที่กำลังย่ำแย่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น เบล จึงต้องโดนโห่ในทุก ๆ ที่ไม่ว่าจะตอนแข่งขัน หรือแม้กระทั่งตอนขับรถไปซ้อมก็ตาม

เบลและซีดาน

ที่ร้ายที่สุดคือการที่ เบล ต่อปากต่อคำกับ ซีเนดีน ซีดาน กุนซือฮีโร่ขวัญใจแฟนบอล ดังนั้นมันยิ่งง่ายขึ้นไปอีกที่จะทำให้แฟนบอลเลือกอยู่ฝั่งใคร ซีดาน เป็นพระเอกเสมอจากผลงานแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน ขณะที่ เบล ก็กลายเป็นผู้ร้ายไปโดยปริยาย เรื่องของเรื่องมันคือการกลับมาเข้าคุมทีมรอบที่ 2 ของ ซีดาน ซึ่งตัวของเขานั้นมีแผนจะผ่าตัดทีมครั้งใหม่ในซัมเมอร์ปีนี้ โดย เบล เป็นนักเตะคนแรก ๆ ที่อยู่ในลิสต์ซึ่งจะโดนขายออกไป

“เบล ไม่ได้ลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องเพราะเขากำลังจะย้ายออกไปแล้ว เราหวังให้เขาย้ายออกไปโดยเร็วที่สุด มันคงจะดีสำหรับทุก ๆ คน” ซีดาน กล่าวในช่วงอุ่นเครื่องที่ไม่ใช้งาน เบล ซึ่งเรื่องทั้งหมดมันส่อเค้าลางมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่า ซีดาน กับ เบล มีปัญหาขัดแย้งกัน โดยครั้งหนึ่ง ซีดาน เคยให้สัมภาษณ์ว่าเบลไม่ดีพอจะเป็นตัวจริง และแม้กระทั่งตัวสำรองของทีม “ไม่มีใครเปลี่ยนสิ่งที่นักเตะเคยทำเพื่อสโมสร แต่เราต้องอยู่กับปัจจุบัน แม้ห้ามลืมอดีต ช่วงหลายสัปดาห์มานี้ผมเลือกใช้งานนักเตะคนอื่น ๆ และต่อให้เปลี่ยนตัวได้ 4 คน ผมก็ไม่ส่งเขาลงสนาม” ซีดาน กล่าวในเกมพ่าย เรอัล เบติส 0-2 ในปลายฤดูกาล 2018-19

ความจริงฝั่ง เบล

เบล รู้ตัวดีว่าเขากำลังจะโดนขับออกจากทีม แต่ในมุมมองของเขาคือเขาไม่ได้รับความเคารพจาก ซีดาน ซึ่งเรื่องนี้ เบล นั้นยอมรับไม่ได้ โจนาธาน บาร์เน็ตต์ เอเย่นต์ของเบล เปิดเผยว่าเขาและนักเตะของเขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะทาง ซีดาน และ มาดริด พยายามจะบีบให้เบลหมดทางเลือกและย้ายออกไปเสียเอง “ซีดาน ทำเรื่องที่น่าอับอายมาก เขาพูดจาไม่ให้เกียรติคนที่เคยสร้างคุณงามความดีกับ เรอัล เลยแม้แต่น้อย ถ้าสุดท้ายแล้ว แกเรธ ย้ายออกไป เขาจะออกก็เพราะเขาได้ตัวเลือกที่ต้องการจริง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่เพราะว่าถูก ซีดาน กดดันข่มขู่” เอเย่นต์ของ เบล แสดงจุดยืนในการแข็งข้อและปฎิบัติตามสัญญาที่ มาดริด เป็นคนยื่นให้กับ เบล เซ็นสัญญาเองในปี 2018 

ส่วนเรื่องการปรับตัวกับชีวิตในสเปน ที่ว่ากันว่า เบล พูดภาษาสแปนิช ไม่ได้นั้นดูเหมือนกับมันเป็นการแซวกันขำ ๆ มากกว่า เพราะเบลอยู่กับ มาดริด มาแล้วถึง 6 ปี และโดยธรรมชาติของมนุษย์ การได้เจอกับสิ่งเดิม ๆ ทั้งการกระทำและการใช้ภาษาย่อมต้องทำให้ เบล ซึมซับอะไรเข้ามาบ้าง

เรื่องนี้ คริส โคลแมน อดีตกุนซือทีมชาติ เวลส์ ก็ช่วยแย้งว่ามันไม่ใช่ความจริง เพราะเขามีประสบการณ์ในการไปเยี่ยมหา เบล ที่กรุงมาดริด มาแล้ว และพบว่า เบล ไม่ได้แย่เหมือนที่สื่อหรือใครหลายคนพยายาม “ขยี้” โคลแมน บอกว่า เบล พูดภาษาสแปนิชได้ในระดับที่คล่องแคล่ว นอกจากนี้เขายังมองว่าการที่ เบล ไม่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ใช่ความผิดของเขาแต่อย่างใด เพราะที่สุดแล้วมันคือไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ทุกคนมีนิสัยแตกต่างกัน เบล ไม่ชอบปรากฏตัวในที่แจ้งและเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง

“ผมเห็นที่ จอห์น โตแชค (อดีตโค้ชทีมชาติเวลส์) ตำหนิ เบล ว่าไม่พูดสเปน ทั้งที่ไปอยู่ที่นั่นหลายปี และไม่เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะให้มากพอที่มาดริด ผมมองว่ามันไม่ยุติธรรมที่เขาจะโดนโจมตีในลักษณะนี้” โคลแมน กล่าว “เขามีบุคลิกเฉพาะตัว และไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ตอนกลับมาบ้านที่เวลส์ เขาก็เล่นแต่กอล์ฟ และใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบงการ ว่าต้องทำแบบนั้น ต้องทำแบบนี้ จนสูญเสียการเป็นตัวเอง หากเขาโดนบังคับจนไม่มีความสุข มันจะส่งผลร้ายไปยังฟอร์มในสนามด้วยมากกว่า ผมเองเคยไปหา แกเรธ ที่มาดริด เราอยู่ในร้านอาหาร เขาพูดสแปนิชได้คล่องมาก สั่งอาหาร และทักทายผู้คนในร้านแบบเป็นกันเอง”

แม้พฤติกรรมของ เบล จะผิดวิสัยของชาวสเปนและชาวเมืองมาดริด ทว่าในความจริงแล้วหน้าที่ของนักฟุตบอลอาชีพคือสิ่งที่ เบล ทำมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง บนข่าวคราวความขัดแย้งนอกสนามมากมาย แต่เมื่อได้ลองค้นหาข้อมูลหรือแหล่งข่าวที่อ้างอิงได้ว่า เบล ไม่มีความเป็นมืออาชีพ อย่างเช่น ขาดซ้อมไปตีกอล์ฟ, ไม่มีวินัย, และไม่ปฎิบัติตามสัญญา เรากลับพบว่าไม่มีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้พูดถึงเรื่องนี้เลย

แม้กระทั่งข่าวที่บอกว่าเขาหนีซ้อมไปตี กอล์ฟ นั้น ซีดาน เองก็ยังเคยออกมาบอกว่า เบล สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้เต็มที่ไม่มีการสั่งห้ามตีกอล์ฟแต่อย่างใด ซึ่งในทางเดียวกันตอนนั้น มาดริด ก็พยายามจะขาย เบล ให้ เจียงซู ซูหนิง จากจีนอยู่แล้วด้วย

“ผมหวังว่าเขาจะกำลังฝึกซ้อมไปด้วย ตอนนี้เราอยู่ที่นี่ และกำลังคิดถึงเรื่องทีม เราจะรอดูเมื่อกลับไปถึงสเปน ผมไม่ได้ห้ามใครจากการทำอะไรก็ตาม” ซีดาน กล่าวตอนพาทีมเล่น อาวดี้ คัพ ที่เยอรมัน ขณะที่ เซร์คิโอ รามอส ก็บอกว่าการเล่นกอล์ฟไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างที่แฟนบอลและสื่อโจมตี เบล นักฟุตบอลก็เหมือนคนทั่วไป ทุกคนมีกิจกรรมที่ตัวเองชอบทั้งสิ้น “นั่นคือชีวิตส่วนตัวของ เบล จงเคารพเขาซะและเลิกพูดถึงมัน เราทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ในเวลาว่างของเรา” กัปตันทีมกล่าว

เมื่อการย้ายทีมไม่เกิดขึ้น และวันจากลาได้มาถึง

เบล ลงซ้อมกับทีม เรอัล มาดริด อย่างไม่ขาดตกบกพร่องก่อนเริ่มฤดูกาล 2019-20 และสุดท้ายโอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อนักเตะเกมรุกพร้อมใจกันบาดเจ็บทำให้ ซีเนดีน ซีดาน ต้องเลือกใช้งาน เบล ซึ่งตอนนั้นเขาทำไปแล้ว 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์จาก 3 เกมที่ลงสนาม และเป็นนักเตะที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดในช่วงเปิดฤดูกาล “ผมพอใจกับประตูของเขา และเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปพร้อมกับเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้น” ซีดาน อดชมเบลไม่ได้ในเกมที่เสมอกับ บียาร์เรอัล 2-2  อย่างไรก็ตามเมื่อฟุตบอลคือกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม บรรยากาศภายในและการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญ เบล อาจจะเป็นคนเก่งแต่บางครั้งคนเก่งก็เป็นปัญหาขององค์กรเหมือนกัน สุดท้ายแล้วเมื่อหาทางออกในการอยู่ร่วมกันไม่ได้ ปัญหาคาราคาซังของเขากับ มาดริด ก็จบลงเสียที หลังราชันชุดขาวตอบรับข้อเสนอปล่อยเขากลับไปร่วมทีม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี

หนึ่งปีที่สเปอร์ส

ต้องบอกว่าเป็นปีที่ดีได้ไม่เต็มปาก เบล เล่นเหมือนกับนักเตะที่ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเเล้ว ความกระตือรือร้นน้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ที่สเปอร์ส เขากลายเป็นตัวสำรองของนักเตะอย่าง ลูคัส มูร่า เลยด้วยซ้ำ แม้ในช่วงเวลานี้ข่าวคราวเรื่องพฤติกรรมของเขาก็ไม่ได้มีเรื่องแย่อะไร และเขาก็แสดงออกว่า “เขาไม่ใช่ตัวปัญหา” แต่สำหรับนักเตะค่าเหนื่อยสูงยิ่งกว่า 2 นักเตะตัวความหวังของทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง มิน ก็ต้องยอมรับว่า เบล ทำได้ดีในระดับหนึ่งแต่ยังไม่ดีถึงขั้นแบกทีมได้ แม้จะยิงในลีกได้ 11 ลูก แต่สุดท้ายสเปอร์สก็ชั่งน้ำหนักและเลือกจะไม่ซื้อขาดเขาจาก มาดริด เมื่อฤดูกาลจบลง

เบล ต้องกลับมาเล่นที่ มาดริด ต่อแบบไม่มีทางเลือก และเขาเองก็รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแย่งตัวจริง เพราะเมื่อ คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามาคุมทีม เขามีรูปแบบการเล่นที่ชัดเจน แนวรุกใช้ คาริม เบนเซม่า ร่วมกับ วินิซิอุส จูเนียร์ เป็นตัวหลัก ซึ่งที่สุดเเล้วตลอดทั้งซีซั่น เบล ก็ได้ลงสนามไปทั้งหมดแค่ 7 เกมเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือเขายังโดนแฟนบอล เรอัล มาดริด สาปส่งเป็นอันดับ 1 เหมือนเคย ทุกครั้งที่ เบล ได้บอล หรือรอจะได้เปลี่ยนตัวลงสนามเขาจะถูกผิวปากและโห่ไส่ จากสิ่งที่เคยทำในอดีต ซึ่งเรื่องนี้เราก็คงจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าระหว่าง เบล กับ มาดริด ฝั่งไหนเป็นฝั่งเริ่มเล่นสงครามจิตวิทยาก่อน จนเรื่องลุกลามมาถึงขนาดนี้ได้ ทว่าอย่างน้อย ๆ อันเชล็อตติ ก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างกับโค้ชคนอื่น ๆ แม้จะไม่ได้ลงสนาม แต่ อันเช่ ก็พูดถึง เบล ในแง่มุมบวกประจำ ทั้งสิ่งที่เขาเคยทำให้กับทีมและความเป็นมืออาชีพแม้ไม่ได้ลงสนาม ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่ อันเช่ ถึงขั้นติติงแฟนบอลถึงการโห่ใส่ เบล ที่เป็นนักเตะของตัวเองมาเเล้ว “เบล ถูกผิวปากใส่ (โห่) แต่เขาก็มีความเป็นมืออาชีพมาก ๆ ผมเข้าใจแฟนบอลนะ แต่ที่สุดเเล้วผมยืนยันได้ว่าหากเขาฟิตพอ เขาก็จะได้ลงเล่น”

          “ก่อนหน้านี้เขามีปัญหาบาดเจ็บ และเขาไม่ได้ลงเล่นในช่วงหลัง แต่เขาเป็นนักเตะที่จะเข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร เมื่อดูจากถ้วยแชมป์และประตูของเขา” แม้ภาพจำของ เบล จะยากแก่การให้อภัย แต่ที่สุดแล้วปีสุดท้ายกับทีม เขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเพิ่มเติมเลย เขารับกับสิ่งทีเ่กิดขึ้นและไม่มีข่าวเสียหาย มันเป็นเหมือนกับการให้เกียรติแก่ อันเชล็อตติ ที่ปกป้องเขากลับอย่างแท้จริง ที่สุดเเล้วความจริงที่ไม่มีใครคัดค้านได้คือต่อให้เขาจะถูกขับไสไล่ส่งจากแฟนราชันชุดขาว มาตลอด 2-3 ปีหลัง แต่เขาก็คือส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ความสำเร็จของมาดริด และ 15 แชมป์ใน 9 ปี คือเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี … ถึงใครจะเกลียดเขา แต่เมื่อถึงเวลาต้องอำลา สำหรับ เบล แล้วเขายังขอบคุณทุกช่วงเวลาที่เกิดขึ้นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เสมอ